มิถุนายน 2562
กฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยการลดการใช้กำมะถันขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 เป็นต้นไป ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกสั้นๆ ว่า IMO 2020 หลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่จะบังคับใช้ในอุตสาหกรรมทางทะเล ทั้งนี้ สิงคโปร์และจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ท่าเรือ เรือขนส่งสินค้า ซัพพลายเออร์น้ำมัน และโรงกลั่นจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อที่จะสามารถปฏิบัติตามกฎดังกล่าวนี้ได้ ทั้งนี้ รายงานฉบับนี้ จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของกฎเกณฑ์นี้ต่อผู้มีส่วนได้เสียในแต่ละกลุ่ม
หากพิจารณาธุรกรรมการค้าทั่วโลก จะพบว่า สินค้าที่ขนส่งทางเรือคิดเป็น 80 % โดยปริมาณและ 70 % โดยมูลค่า ของธุรกรรมทางการค้าทั้งหมด ทั้งนี้การขนส่งทางเรือจะใช้น้ำมันที่มีกำมะถ้นในปริมาณสูง เป็นจำนวนประมาณ 3 ถึง 4 ล้านบาร์เรล ต่อวัน คิดเป็นประมาณ 3 % ถึง 4 % ของปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลก
ด้วยสาเหตุดังกล่าว เรือขนส่งสินค้าจะต้องแบกรับต้นทุนราคาที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อบำบัดมลพิษ เช่น ระบบสครับเบอร์ซึ่งเป็นระบบบำบัดก๊าซเสีย หรือว่าจะเป็นการใช้เชื้อเพลิงตามที่กำหนด เช่น น้ำมันโซล่า หรือน้ำมันเตาค่ากำมะถันต่ำ
ทั้งนี้ ซัพพลายเออร์น้ำมัน จะต้องมีน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ที่จะเสนอเป็นทางเลือกให้แก่เรือขนส่งสินค้าให้มากขึ้น
ส่วนท่าเรือและศูนย์การขนส่งน้ำมันทางทะเลที่ต้องการรักษาศักยภาพทางการแข่งขัน ควรมีเชื้อเพลิงทางเลือกให้กับเรือขนส่งสินค้าให้มากขึ้น ซึ่งรวมไปถึง ก๊าซเหลว (LNG)
โรงกลั่นอาจจะต้องมองหาเงินทุนเพิ่ม เพื่อใช้ในการปรับปรุงเครื่องมือและอุปกรณ์ให้มีคุณภาพสูงขึ้นและเร่งการผลิตเชื้อเพลิงที่มีกำมะถันต่ำตามที่กำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ท้ายที่สุด IMO 2020 จะส่งผลให้น้ำมันที่ค่ามีกำมะถันเจือต่ำ มีราคาสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมันดิบ WTI ทั้งนี้ โรงกลั่นโดยทั่วไป นิยมที่จะผลิตน้ำมันที่มีค่ากำมะถันต่ำอยู่แล้ว
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประเด็นข้างต้น และ/หรือ คำแนะนำทางการเงิน โปรด คลิกที่นี่
คลิกที่ปุ่มเพื่ออ่านการวิเคราะห์อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ
ดาวน์โหลด